เช็คยางรถยนต์อย่างไร ให้ปลอดภัยต่อการขับขี่
เช็คยางรถยนต์อย่างไร ให้ปลอดภัยต่อการขับขี่
โดยปกติแล้วการใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่จำเป็นต้องตระหนักและให้ความสำคัญเลย นั่นก็คือ เรื่องของความปลอดภัย ยิ่งขับรถเดินทางไกลด้วยแล้วควรเช็คสภาพรถยนต์ทุกครั้ง โดยเฉพาะการเช็คยางรถยนต์ เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ ที่จะต้องสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลา ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและใช้ในการขับเคลื่อนให้ตัวรถให้วิ่งไปได้อย่างนิ่มนวลและปลอดภัย
ดังนั้นเราควรใส่ใจและดูแลอยู่เสมอ เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งยางรถยนต์นั้นไม่ได้หมดอายุเพียงแค่ดูวันที่ตามระยะเวลาการใช้งาน แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์หมดอายุ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่ายางรถยนต์ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนนั้น วันนี้ทางเรามีวิธีเช็คและจุดสังเกตมาแนะนำครับ
ยางรถยนต์หมดอายุ ดูตรงไหน ?
ยางรถยนต์ ถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุอินทรีย์ที่มาจากธรรมชาติจำนวนมาก ซึ่งสารประกอบต่างๆ ในยางรถก็จะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับวัสดุอินทรีย์อื่นๆ การเลือกใช้ยางหลายคนอาจะได้ข้อมูลมาว่าต้องเป็นยางที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ๆ จะดีที่สุด ซึ่งในทางเทคนิคยางที่ดีจะต้องใช้เวลาในการคงตัว (เซตตัว) โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน เพื่อความแข็งแรงในการใช้งาน แต่ผลจากการทดสอบคุณภาพยางจากได้ผลออกมาว่า ยางที่เพิ่งผลิตกับยางที่ผลิตไปแล้ว 1 – 2 ปี คุณภาพไม่แตกต่างกัน
สำหรับวิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ ตัวเลขบนหน้ายาง ที่เราสังเกตเห็นบนหน้ายางจะมีอยู่หลายชุด ซึ่งแต่ละชุดจะเป็นตัวเลขที่บอกข้อมูลให้เจ้าของรถเพื่อเป็นข้อสังเกตอายุยางว่า เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยาง อีกทั้งยังมีข้อจำกัดอะไรบ้าง หากมีการเก็บรักษายางอย่างเหมาะสม ยางก็จะมีอายุการเก็บรักษาในที่เก็บโดยเฉลี่ยเป็นเวลา 4-5 ปี โดยยังสามารถซื้อมาใช้ได้ แม้ว่าจะถูกผลิตจากโรงงานมาหลายเดือนแล้วก็ตาม ยางใหม่จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 40,000 กิโลเมตร
ปัจจุบันในประเทศไทยจะมีคำแนะนำการเปลี่ยนยางเมื่อเดินทางได้ 50,000 กิโลเมตร หรือมีอายุการใช้งานทุก ๆ 3 ปี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์กำลังดี หากยางใหม่ถูกเก็บรักษาไม่ถูกวิธี และไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ยางจะเสื่อมสภาพไวขึ้น ส่งผลให้ยางเสียสภาพและแตกร้าวได้ และทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงด้วยเช่นกัน
วิธีเช็คยางรถยนต์
1. ดอกยางเสื่อม
วิธีการเช็คยางรถยนต์โดยปกติควรตรวจเช็คสภาพดอกยางทุก 6 เดือน หรือทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อตรวจดูว่าดอกยางเสื่อมไหม ดอกยางรถยนต์ยังเท่ากันหรือไม่ สำหรับการตรวจเช็คดอกยาง ควรสังเกตว่ายางรถยนต์ของเรามีดอกยางสึกหรอผิดปกติ หรือเหลือต่ำสุดที่ 1.6 มิลลิเมตร ดูได้จากบริเวณสะพานยางหรือบริเวณที่มีลักษณะเป็นสันนูนที่ร่องยาง หากเช็คดอกยางแล้วพบว่ายางสึกจนสามารถมองสะพานได้แล้ว หรือยางรถยนต์มีรอยแตกร้าว แปลว่ายางเส้นนั้นหมดอายุการใช้งานแล้วและเป็นถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่แล้ว
2. แก้มยางแตก มีรอยร้าว
หากยางรถยนต์มีรอยร้าวจัดว่าเป็นสภาพยางรถยนต์ที่ควรเปลี่ยนค่ะ เราสามารถตรวจสอบง่าย ๆ ได้ด้วยตาเปล่าของตัวเอง ถ้าหากพบเห็นรอยแตกหรือร้าว ต้องรีบเปลี่ยนยางโดยด่วน เพราะอาจเป็นสาเหตุให้ยางระเบิดได้ ยิ่งตอนที่เราจำเป็นต้องใช้ความเร็วในการขับรถก็ทำให้ยางปริแตกเสียการควบคุมได้ พยายามหมั่นตรวจสอบกันอยู่เสมอนะคะ
3. ยางบวม มีรอยปูดนูนผิดปกติ
ถ้าหากตรวจเช็คยางรถยนต์พบว่า ยางรถของเราไม่เหมือนเดิม มีลักษณะ บวม ปูด นูน ออกมาจากปกติ ต้องรีบเปลี่ยนยางโดยทันที เพราะอาการนี้ อาจทำให้ยางระเบิด ในขณะขับขี่ได้
4. เนื้อยางแข็งกระด้าง
อีกวิธีเช็คยางรถยนต์คือการสังเกตที่เนื้อยางรถยนต์ค่ะ โดยทั่วไปยางใหม่ ๆ หน้ายางจะนิ่ม จะเบรก หรือเข้าโค้งได้ดี แต่หน้ายางที่ใกล้หมดอายุ หน้ายางจะเริ่มแข็ง เบรกเริ่มมีเสียงดัง และระยะเบรกไม่ดีเหมือนเคย อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ วิธีการตรวจเช็คโดยง่ายก็คือ ใช้เล็บมือลองจิกลงบนหน้ายาง ถ้าหากว่าจิกลงไปแล้ว ไม่ทิ้งรอยเล็บ แสดงว่าสภาพยางรถยนต์ที่ควรเปลี่ยนเพราะหน้ายางหมดอายุแล้ว คุณอาจต้องเปลี่ยนยางใหม่ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเรานะคะ
5. อายุของยาง
ทำความเข้าใจกันก่อนว่า อายุของยางนั้นดูได้จากไหน ง่ายมากค่ะ ให้ทุกคนลองสังเกตุบนแก้มยาง ค้นหาวงรีที่มีเลข 4 หลักอยู่ด้านในซึ่งตัวเลข 4 ตัวนี้ มีความหมายคือ 2 หลักแรก บอกถึงสัปดาห์ที่ผลิตในปีนั้น (1 ปีมี 52 สัปดาห์) และเลข 2 หลักถัดมา บอกปี คศ. ที่ผลิต โดยทั่วไปนั้นยางรถยนต์มีอายุการใช้งาน 5 ปี นั้นหมายความว่า คุณควรตัดสินใจเปลี่ยนยางใหม่ เมื่อครบ 5 ปี นั่นเอง
6. บาดแผลของยาง
โดยปกติทั่วไปแล้ว เมื่อยางเกิดรั่ว ซึม ส่วนใหญ่นั้น โดยบางบาดแผล การปะยางจะไม่สามารถช่วยได้นะคะ เพราะการปะยาง ควรทำกับบาดแผลเล็กๆ ที่เกิดรอยรั่วไม่เกิน 0.6 มิลลิเมตร และเกิดขึ้นบริเวณหน้ายางเท่านั้น โดยแผล ต้องไม่ไปทำลายโครงสร้างยางภายใน ซึ่งตรงส่วนนี้อาจจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
อาจจะต้องถอดยางออกมาดูท้องยางภายใน แต่มีหลักในการสังเกตเบื้องต้นคือ เมื่อขับรถด้วยความเร็วประมาณหนึ่งแล้ว พวงมาลัยมีอาการสั่นผิดปกติไปจากเดิม แม้จะทำการถ่วงล้อมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม ส่วนบริเวณแก้มยางไม่แนะนำให้ปะ เพราะความแข็งแรงของวัสดุที่มาใช้ในการปะนั้น ไม่สามารถยึดเหนี่ยวได้อย่างแข็งแรง และอาจจะเป็นต้นเหตุให้ยางระเบิดได้เช่นกัน
หวังว่าบทความแนะนำวิธีการเช็คยางรถยนต์ของเราวันนี้ จะช่วยให้ผู้ใช้รถทุกคนขับขี่ได้ปลอดภัยมากขึ้น เอาเป็นว่าอ่านบทความกันแล้ว อย่าลืมกลับไปเช็คสภาพยางกันด้วยนะครับ โดยเฉพาะคนที่ต้องใช้รถทุกวัน จำเป็นอย่างมากที่จะต้องตรวจเช็คยางรถยนต์เป็นประจำ หากเกิดปัญหาจุดไหนจะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีนะครับ
รู้เรื่องรถ
-
ในยุคปัจจุบันนี้ เมื่อไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตเปลี่ยน ความต้องการก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เช่นเดียว...
-
ปะยางรถยนต์มีกี่แบบ และปะยางแบบไหนดีที่สุดแน่นอนว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้เสมอกับผู้ที่ใ...
-
ปัจจุบันนี้ เชื่อว่าหลายๆคนมักจะมีรถยนต์ติดบ้านไว้ใช้งานกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว บางคนก็อาจจะมีมากกว่...
-
สำหรับคนที่เป็นเจ้าของรถยนต์ โดยเฉพาะคนที่รักในการดูแลรถเป็นอย่างดี การล้างรถก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งขั้...