ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ

“ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ” เชื่อว่าคนที่ใช้รถยนต์ส่วนใหญ่ต้องเคยได้ยินคำนี้ เวลาที่ต้องนำรถเข้าศูนย์บริการ หรือเข้าใช้บริการที่ร้านเปลี่ยนยางทั่วไป การตั้งศูนย์ถ่วงล้อถือเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์ที่มีความสำคัญพอสมควร

เพราะการตั้งศูนย์ถ่วงล้อนั้นจะช่วยให้รถของคุณวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมไม่ให้รถเสียสมดุลไปข้างใดข้างหนึ่ง และช่วยกันแรงสั่นสะเทือนบนถนนในขณะที่คุณขับรถอยู่ รวมถึงช่วยยืดอายุการใช้งานของยางให้นานขึ้นด้วย

ถึงแม้ว่าคนใช้รถส่วนใหญ่อาจจะคุ้นเคยกับการ ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ก็จริง แต่ก็ยังมีหลายคนที่คิดว่า การตั้งศูนย์-ถ่วงล้อนั้น เป็นส่วนเดียวกัน แต่จริงๆแล้ว 2 อย่างนี้มีหน้าที่คนละส่วนกันเลยครับ วันนี้เราจะพามาดูว่า สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ มีอะไรบ้าง และ 2 อย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร

ความสำคัญของการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
การตั้งศูนย์ และการถ่วงล้อ คือการปรับระบบกันสั่นสะเทือนของรถในส่วนที่เชื่อมกับล้อ รวมถึงการปรับมุมล้อที่สัมผัสพื้นถนนให้มุมต่าง ๆ อยู่ในค่าปกติ ทิศทางถูกต้อง เพื่อให้ล้อรถซับแรงกระแทกและให้เราบังคับทิศทางของรถได้แม่นยำที่สุดขณะรถวิ่ง

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ยางรถยนต์สามารถวิ่งได้อย่างเหมาะสม ช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง ที่สำคัญยังมีส่วนช่วยให้การควบคุมรถเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่เสียศูนย์หรือเสียสมดุล ช่วยลดการสั่นสะเทือนและลดการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันด้วย

สัญญาณเตือน! ที่บอกว่ารถของคุณควรตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
1.ขณะขับขี่ รถยนต์เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ยางรถยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติ ยางรถยนต์ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด พวงมาลัยเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
2. รถยนต์ที่ได้รับแรงกระแทกจากการขับขี่ตกหลุมบ่อหรือชนสิ่งกีดขว้าง ส่งผลระบบการตั้งศูนย์ล้อเสียหายได้
3. การสึกหรอของยางรถยนต์ ที่มีผิวไม่สม่ำเสมอ และขณะขับขี่พวงมาลัยเกิดการสั่นสะเทือน
จริงๆแล้ว ควรตั้งศูนย์ถ่วงล้อเป็นประจำทุกปีหรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร แต่ถ้าหากว่าสังเกตแล้วพบอาการเหล่านี้ แม้ว่าจะยังไม่ถึง 10,000 กิโลเมตร ก็สามารถนำรถไปเช็คเพื่อความชัวร์ได้เลยว่าต้องตั้งศูนย์หรือไม่

ประโยชน์ของการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
1. ช่วยให้รถยนต์ของคุณขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
2. ช่วยให้รถยนต์มีการทรงตัวที่เหมาะสมนำไปสู่การขับขี่ที่สมดุล ลดการสึกหรอของยางรถยนต์

การตั้งศูนย์ - ถ่วงล้อ แตกต่างกันอย่างไร ?
การตั้งศูนย์ การตั้งศูนย์นั้นจะทำให้ศูนย์ล้ออยู่ในองศาที่ถูกต้องไม่แบะออกเกินไป หรือ ไม่หุบเกินไป ซึ่งจะทำให้การขับขี่ของรถเรานั้นสมบูรณ์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์ของมุมแคสเตอร์ และ แคมเบอร์ ปัญหาของศูนย์ล้อเมื่อมีปัญหาอาการที่จะบ่งชี้จะมีอยู่สองอย่าง แรกคือมีอาการกินซ้ายหรือกินขวาเวลาขับขี่ สองอาการสึกของหน้ายางมีปัญหากินสึกไม่เท่ากันของ ขอบในหรือขอบนอก

 

ส่วนการถ่วงล้อ คือ การทำให้ล้อนั้นมีความสมดุลของน้ำหนักเท่ากันทั้งวง ไม่ว่าจะมีการถอดเอามาปะซ่อม หรือเปลี่ยนจุ๊บยางก็ตาม ก็ควรจะมีการถ่วงใหม่ทุกครั้ง เนื่องจากตำแหน่งยางมีการเปลี่ยนตำแหน่งอาจทำให้น้ำหนักของยางทั้งวงไม่เหมือนเดิมได้ซึ่งจะทำให้เกิดอาการสั่นเมื่อใช้งาน

การถ่วงล้อ ไม่ว่ายางจุดสีแดงหรือสีเหลือง จะอยู่ที่จุดใดบนแม็กไม่มีผลต่อการใช้งานหลังถ่วงล้อเสร็จ เพราะหลังจากถ่วงล้อเสร็จน้ำหนักของวงจะเท่ากันทั้งหมด แต่จุดเหลือแดงเป็นจุดที่ทำให้คนถ่วงนั้นทำงานได้ง่ายขึ้น และ ใช้ตะกั่วถ่วงได้น้อยลงเท่านั้น

ก็คงมีหลายคนเหมือนกันที่สงสัยว่า แล้วถ้าเปลี่ยนยางใหม่ต้องตั้งศูนย์ ถ่วงล้อไหม ? สิ่งที่ต้องทำแน่ๆ คือ การถ่วงล้อครับ เพราะหากล้อที่ใส่ยางใหม่มานั้นไม่มีความสมดุลในล้อทั้งวง เมื่อใช้งานก็จะเกิดอาการสั่นเมื่อใช้ความเร็วเยอะๆ เพราะเนื่องมาจากว่าล้อกลิ้งไม่กลมทั้งวงนั่นเอง

แล้วตั้งศูนย์ล่ะ จำเป็นไหม ? เมื่อเราเปลี่ยนยาง เราถอดแม็กออกจากดุมล้อ และใส่กลับเข้าไปที่เดิม เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนยางใหม่จะไม่ได้กระทบกับช่วงล่าง และ ศูนย์ล้อเดิมเลยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วศูนย์ล้อเป็นส่วนที่ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่ควรจะไปปรับแต่งหรือยุ่งกับมันครับ

เพราะทุกครั้งที่ร้านแจ้งว่าตั้งศูนย์นั้น หมายถึงทางร้านจะทำการเช็คศูนย์ให้โดยขึ้นที่เครื่องและตรวจสอบ แต่ส่วนมากแทบไม่ได้ปรับแต่งต้องทำอะไรกับศูนย์เท่าไหร่ครับ แต่ถ้ามีอาการหรือปัญหาเหมือนข้างต้น แน่นอนครับว่าควรตั้งศูนย์ และก่อนจะตั้งศูนย์ก็จะต้องมีการบำรุงช่วงล่างหรือหาสาเหตุให้แน่ชัดก่อนครับว่า ปัญหาที่ศูนย์เพี้ยนนั้นเกิดจากอะไร

และนี่ก็คือความสำคัญของการตั้งศูนย์ถ่วงล้อที่หลายคนควรรู้ว่าจำเป็นหรือไม่ มีประโยชน์อย่างไร จะได้ให้ความสำคัญกับการตั้งศูนย์และถ่วงล้อให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เราขับขี่ได้ปลอดภัยและเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนไม่ควรมองข้ามนะครับ

รู้เรื่องรถ

Visitors: 81,313